นับว่าเป็นกระแสที่มาแรงและเป็นดราม่าชุดใหญ่ เดี่ยว Super Soft Power ของโน้ส อุดม” ที่ถูกพูดถึงในโลกโซเซียลอย่างมากในตอนนี้ หลังฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่าง Netflix ปล่อยไฮไลท์โชว์ออกมา เป็นที่ถกเถียงกันทันทีที่โน้ส อุดม แต้พานิช พลาดพิงศิลปินแห่งชาติ ซึ่งแต่ละฝ่ายมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป จนมีประเด็นเด็ดๆ ร้อนๆ อีกหลายเรื่อง จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม! แต่อย่างไรก็ตามหากย้อนไปดูเดี่ยวไมโครโฟน ตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาคสุดท้าย ในแต่ละตอนนั้นมีการแทรกสอด วิถีชีวิต ติดเทรนด์ในสังคมไทยไว้ด้วยเพราะแง่มุมของเดี่ยวไมโครโฟนมีดีกว่าดราม่า ทำให้โน้ส อุดม ยังเป็นที่ชื่นชอบของคนในยุคนี้ไม่ได้น้อยลงไปเลยนักนิด!
Stand-Up Comedyหรือ “เดี่ยว ไมโครโฟน” เขาคือใคร? การทอล์คเดี่ยว คือการเล่าเรื่องให้คนจำนวนมากฟัง โดยอาจจะเป็นประเด็นร้อนๆต่างๆ ที่ออกมาสื่อแนวที่ตลกๆ ทั้งเรื่องการเมือง ชนชาติ เพศ และการใช้ชีวิตในประจำวัน ในประเทสไทย อุดม แต้พานิช หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โน้ส อุดม” เป็นนักพูดที่ได้รับการยอมรับและประสบความสำเร็จในการแสดงเดี่ยวไมโครโฟน เพราะด้วยความที่เขาเป็นคนตลกขบขัน ทำให้คนไทยหลายคนชื่นชอบและติดตามผลงานเขามาเรื่อยๆ ในปี 2538 ได้เริ่มแสดงเดี่ยวเป็นครั้งแรกและได้รับกระแสที่ดีอย่างล้นหลามจนได้มีการทำโชว์มาถึง 29 ปีแล้วนั่นเองค่ะ
เดี่ยว ไมโครโฟน 1 (ปี 2538) นี่เป็นจุดเริ่มต้นของ มหกรรมซีรีย์ เดี่ยว ไมโครโฟน จัดแสดงในปี พ.ศ. 2538 โดยเริ่มจาการเสียดสีตลกในวงการบันเทิง โดยได้อธิบาย เกี่ยวกับนักแสดง นักร่อง อาชีพวัยรุ่นในมมัยนั้น ว่าหากอยากเป็นดาราต้องไปเดินสยาม เพราะในวงการมีหนุ่มสาว อยากเข้าวงการจำนวนมาก แมวมองอาจจะไม่เพียงพอ ฉะนั้นจึงเกิดการมองแมวแทนโดยหาแหล่งคุณพจน์อานนท์อยู่ที่ไหน หนุ่มสาวก็จะกรูไปอยู่แถวนั้น
เดี่ยว ไมโครโฟน 2 (ปี 2539) ได้พูดถึงการร้องเพลง และความสนใจของนักร้องที่มีความพิเศษมากกว่าเสียงร้อง พร้อมมีการประกอบท่าทาง โดยที่ไม่ต้องการขัดคำพูดกับ โน้ส อุดม เช่น ถ้าร้องเพลงอย่าเลยๆ คงทำหน้าแบบเหยียดมือไปข้างหน้า เหมือนแสดงให้หยุดคงไม่มีใครเต้นแล้วสั่นขาไปเรื่อยหรอกทำเอาคนฟังฮาลั่นทั่วฮอลล์
เดี่ยว ไมโครโฟน 3 (ปี 2540) หยิบประเด็นเพลงไทยที่กำลังเป็นกระแส ในช่วงปี 2540 เพลง “ดูมั้ย ของศิลปินลิฟท์ออย ประเด็นที่กล่าวว่าเพลงไทยมักมีเนื้อเรื่องที่วนไปวนมา แต่แอบฟังง่ายๆ และมีการแซวเบาๆ ว่าร้องแค่ “ดูไม่ดู ดูไม่ดู ดูไม่เสียตังค์ แต่เอาเงินไป 70 บาทแล้ว”
เดี่ยว ไมโครโฟน 4 (ปี 2542) มีการแซวเจ้าตู้สติ๊กเกอร์เสียงโฆษณาที่พูดไร้อารมณ์ออกมาจากตู้ นับว่าเป็นเสน่ห์ของตู้ถ่ายในสมัยนั้นเลย “ตู้ญี่ปุ่นจะได้อารมณ์มากกว่าตู้ไทย ทำให้เสียอารมณ์แบบสุดๆ เหมือนครูภาษาไทยมาเอง ตู้สติ๊กเกอร์ของเรา ติดตู้เย็นก็ได้ด้วย ติดกระเป๋าก็ได้ด้วย จะติดตรงไหนคนได้ โอโห้เซ็ง”
ครั้งที่ 5 ฉายเดี่ยว (ปี 2545) เป็นอีกหนึ่งคาแรคเตอร์ที่น่าจดจำของอุดม แต้พานิชโดยสะสมเรื่องราวประจำวันถ่ายทอดให้คุณดูได้ดูตลอดไปพร้อมๆกัน ในตอนนี้จะแซวเรื่องการแต่งตัวฮิปฮอปและชาวแร๊ป เขาจะใส่กางเกงในตัวนึงก่อน ซึ่งกระเป๋าจะอยู่แถวก้นของกางเกงทั้งหมดจะมากองอยู่ในรองเท้าทำให้ไม่เห็นรองเท้า สักหน่อยจะเดินไปที่กทมไปช่วย โกยขยะทำให้คนดูนั้นฮาแตกสนั่น
ครั้งที่ 6 ฉายเดี่ยว (ปี 2546) มีการแสดงถึง 43 รอบโดยรอบนี้จะแสดงถึงเกี่ยวกับวัฒนธรรม บ้านเมือง มาอำเป็นมุกสนุกๆเหมือนเดิมในยุคนั้นกาวถึงเรื่องเบอร์โทร 1900 ที่ต้องการให้คนกดปุ่มนี้มากมายแต่ก็เข้าไม่ได้สักทีเป็น 10 นาทีหลายคนจึงจำได้ดีว่าเสียเงินมากขนาดไหนกับเบอร์โทรนี้เป็นยุคที่ต้องดูเพื่อเล่นเกมหรือดูดวง
ครั้งที่ 7 ฉายเดี่ยว (ปี 2551) รอบนี้ไปไกลถึงประเทศออสเตรเลีย ซิดนีย์ โดยมีเรื่องเล่ามากมายขึ้นเลข 4 ของโน้ต มีมุกฮาตลกกล่าวถึงถึงครีมของเจ๊ดอนเมืองและมีกิริยาที่รวมท่าทางฮา อย่างมุก โทนเนอร์ที่เหมือนทินเนอร์ “ทานอนกลางทาครีมตัวไหน”ทำให้โป๊ะปะกันทั้งฮอลล์ เป็นมุกตลกอดที่อดขำไม่ได้เลยทีเดียว
ครั้งที่ 8 ฉายเดี่ยว (ปี 2553) พูดถึงการใช้ชีวิตประจำวันและการบินเที่ยวต่างประเทศและปัญหาที่ชวนคิด เรื่องข้าวหลามก็ สามารถเป็นเรื่องเป็นราวทำให้คนดูนั้นขำได้ มีใครที่ไหนกินข้าวหลามทั้งกระบอกทำไมไม่ทำเป็นช็อต หรือการทำข้าวหลามแบบลิปสติกก็แค่หมุนมันก็เอาเข้าปากง่ายกว่าเรียกเสียงฮาได้ก้องสนั่นไปเลยค่ะ สำหรับมุขนี้
ครั้งที่ 9 ฉายเดี่ยว (ปี 2554) รวมมุกตลกมากมายโดยพูดถึงสังคมออนไลน์และความยากจนที่กำลังมาแรงในช่วงนั้น แถมยังมีคำขวัญที่น่าจดจำในครั้งนั้นอีกด้วย อย่างวลีในตำนานที่จดจำไม่ลืมเลย นับว่าสร้างเสียงหัวเราะหนักมากกับมุข “เซาะกราวขนาดหนัก” ที่ยังจดจำกันได้ถึงทุกวันนี้
ครั้งที่ 10 ฉายเดี่ยว (ปี 2556) เรื่องราวเกี่ยวกับวงละครเหมือนเดิมแต่อาจจะเบาสมองลงหน่อยเพราะได้หยิบเรื่องใกล้ตัวออกมาเป็นเนื้อเพลงฮิปฮอปทุกครั้งที่พูดถึงตุ๊กตาสุดฮิตในยุคนั้นมันคือ ตุ๊กตาเฟอร์บี้ที่เหล่า ดารา,นางแบบ,นักร้องนิยมแม้แต่จะกินมาม่าทั้งเดือนก็ยอม กับพ่อแม่นั้นไม่เคยป้อนข้าวสักครั้งแต่เฟอร์บี้นี้ป้อนทุกๆ 5 นาทีรวมถึงตุ๊กตาบลายธ์ที่มานอนเหงาตายอยู่ในตู้ เป็นอีกหนึ่งมุกที่หลายๆคนอดยิ้มไม่ได้เลยจริงๆ
ครั้งที่ 11 ฉายเดี่ยว (ปี 2558) เป็นการหยิบประเด็นกลางเมืองหรือตลกร้ายในยุคโซเชียลออกมาเล่น มุกสารพัดปัญหาทั้งขายครีมแนว 18+ กับวลีเด็ดที่ชวนฮามากๆ เร่งอกฟูรูฟิตระงับกลิ่นแฟนติดใจ กิริยาเชิญชวนทำให้คนดู ฮา กระจายถึงกับน้ำตาไหลกันเลยทีเดียวกับมุกเด็ด ของเดี่ยว 11
ครั้งที่ 12 ฉายเดี่ยว (ปี 2561) กลับมาอัปเดตเหมือนได้พบเพื่อนเก่าที่หายมานานโดยใช้เวลาการแสดงถึง 3 ชั่วโมง 8 นาทีและมีการแซวถึงครูปรีชาเฮฮาไปทั้งฮอลล์โดยเฉพาะผลงานกับที่โดดเด่นธรรมดาใจที่ไหน ไม่ต้องห่วงครูยังมีผมข้าง “แต่นี่ผมตรงกลางของครูนั้นมันหายไปหายไหน” ทำให้มุกนี้ เฮฮาถูกใจคนทั้งฮอลล์เลยทีเดียว
ครั้งที่ 13 ฉายเดี่ยว (ปี 2565) เป็นปีแรกที่คุณจะได้ดูผ่าน Netflix โดยเปิดวลีแค่ว่าผมหิวแสง ทำเอาคนทั่วบ้านทั่วเมืองนั้น ถึงใจกับมุกนี้แบบสุดๆ ข่าวดังในตอนนี้พูดถึงจาพนมเรื่องราวเกี่ยวกับการทำบ้าน และรวมถึงการแซวบทสวดมนต์ของปาล์มมี่ ที่ชวนฮาที่ชวนฮาน้ำตาแทบเล็ดกันเลยทีเดียว
และนอกจากเดี่ยว 13 ยังมีผลงานที่น่าติดตามอีกด้วย! หมู่ วาไรตี้ 1 (โน๊ต อุดม),หมู่ วาไรตี้ 2 (โน๊ต อุดม),ซิดดาวน์ วิท สแตนด์อัพ (โน๊ต+ป๋าเต็ด) และเดี่ยวไมโครโฟน สเปเชียล ซุปเปอร์ ซอฟพาวเวอร์ ในปี 2024 รับชมผ่านNetflix เดี่ยวล่าสุดรับรองว่าสนุกฮาไม่ไหวเลยจริงๆ ค่ะ